นางสาวศศิธร จันทร์เทียน เลขประจำตัว 5214770436 รุ่นที่ 1
E-mail:s_junthien@hotmail.com
ชื่อสารเคมี : อะซีโตน Acetone
ลักษณะงานและสถานที่ทำงาน
เมื่อปี 2550 ได้เข้าทำงานในโรงงานผลิตนาฬิกาข้อมือแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท ลักษณะงานที่ทำเป็นการควบคุมกระบวนการผลิตหน้าปัดและตัวเลขนาฬิกาเพื่อการส่งออก ซึ่งในกระบวนการผลิตจะมีการใช้สารเคมีจำพวกแลคเกอร์ ทินเนอร์ และอะซิโตน เมทิลแอลกอฮอล์ ฯลฯ แต่ในที่นี้ขอยกตัวอย่างอันตรายที่ได้รับจากสารเคมีประเภทอะซิโตน เนื่องจากผู้เขียนเคยมีประสบการณ์จากอันตรายของสารเคมีดังกล่าวโดยตรงคือมีอาการชาตามปลายประสาท เช่น แขน ขา ร่างกายและ มีอาการมึนงง คลื่นไส้ แสบท้อง ในห้องทดลองเป็นระยะเวลาโดยรวมราว 8-10 ชม. และไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน เนื่องจากความประมาทในการที่ไม่ได้ศึกษาโทษของสารเคมีดังกล่าวก่อน และไม่มีป้าย สัญลักษณ์ บ่งชี้อย่างชัดเจน ซึ่งเมื่อเห็นคนโดยส่วนมากปฏิบัติอย่างไรก็ปฏิบัติตามเค้าไป งานและสถานที่ทำงาน
เมื่อปี 2550 ได้เข้าทำงานในโรงงานผลิตนาฬิกาข้อมือแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท ลักษณะงานที่ทำเป็นการควบคุมกระบวนการผลิตหน้าปัดและตัวเลขนาฬิกาเพื่อการส่งออก ซึ่งในกระบวนการผลิตจะมีการใช้สารเคมีจำพวกแลคเกอร์ ทินเนอร์ และอะซิโตน เมทิลแอลกอฮอล์ ฯลฯ แต่ในที่นี้ขอยกตัวอย่างอันตรายที่ได้รับจากสารเคมีประเภทอะซิโตน เนื่องจากผู้เขียนเคยมีประสบการณ์จากอันตรายของสารเคมีดังกล่าวโดยตรงคือมีอาการชาตามปลายประสาท เช่น แขน ขา ร่างกายและ มีอาการมึนงง คลื่นไส้ แสบท้อง ในห้องทดลองเป็นระยะเวลาโดยรวมราว 8-10 ชม. และไม่ได้ใส่อุปกรณ์ป้องกัน เนื่องจากความประมาทในการที่ไม่ได้ศึกษาโทษของสารเคมีดังกล่าวก่อน และไม่มีป้าย สัญลักษณ์ บ่งชี้อย่างชัดเจน ซึ่งเมื่อเห็นคนโดยส่วนมากปฏิบัติอย่างไรก็ปฏิบัติตามเค้าไป
เลขอ้างอิงตามระบบองค์การสหประชาชาติ
UN Class: 3 (ของเหลวไวไฟ)
UN Number: 1090
UN Guide: 127 (ของเหลวไวไฟ (มีขั้ว / รวมกับน้ำ))
สถานที่ที่พบสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี
กรณีที่ 1 ในโรงงานอุตสาหกรรมดังกล่าวพบในห้องแล็ปสำหรับล้างชิ้นงานออกจากแลคเกอร์ ทินเนอร์ กาว หรือวัสดุที่ใช้ติดงานกับอุปกรณ์ยึดจับที่ใช้สำหรับงานขัด
กรณีที่ 2 ในบ้านเรือนมักพบสารชนิดนี้ในน้ำยาล้างเล็บที่มีขายทั่วไปตามท้องตลาด
ข้อชี้บ่งสำหรับอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม
1. ไวไฟสูง
2. ระคายเคืองต่อตา
3. การได้รับซ้ำๆ อาจทำให้ผิวหนังแห้งและแตก
4. ไอของสารอาจทำให้ซึมและง่วงนอน
มาตรการปฐมพยาบาล
1. เมื่อสูดดมสาร ถ้าสูดดมเข้าไป ให้ย้ายผู้ป่วยไปที่ที่มีอากาศบริสุทธิ์ ถ้าไม่หายใจ ให้การช่วยหายใจ ถ้าหายใจลำบาก ให้ออกซิเจน
2. เมื่อสัมผัสสาร ในกรณีที่สัมผัสกับสาร ให้ล้างผิวหนังทันทีด้วยสบู่และน้ำปริมาณมาก
3. เมื่อสารเข้าตา ในกรณีที่สัมผัสกับสาร ให้ล้างตาด้วยน้ำปริมาณมาก เป็นเวลาอย่างน้อย 15 นาที
4. เมื่อกลืนกิน เมื่อกลืนกิน ให้ใช้น้ำบ้วนปากในกรณีที่ผู้ป่วยที่ยังมีสติอยู่ ไปพบแพทย์
วิถีทางที่ได้รับสาร
การสัมผัสทางผิวหนัง: อาจทำให้เกิดการระคายเคืองผิวหนัง.
การดูดซึมทางผิวหนัง: อาจเป็นอันตรายหากถูกดูดซึมผ่านผิวหนัง.
การสัมผัสทางตา: ทำให้เกิดความระคายเคืองต่อดวงตา.
การสูดดม: อาจเป็นอันตรายหากสูดดม. สารนี้อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองที่แผ่นเยื่อเมือก และบริเวณทางเดินหายใจส่วนบน.
การกลืนกิน: อาจเป็นอันตรายหากกลืนกิน
อาการแสดงและการวินิจฉัย
อาการแสดงของการเกิดพิษ ขึ้นกับลักษณะการได้รับอะซีโตนเข้าสู่ร่างกาย ปริมาณของอะซีโตนที่ได้รับ และระยะเวลาที่ได้รับ
ข้อมูลของอวัยวะเป้าหมาย ตับ และไต
การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ควรให้กินน้ำหรือนมมากๆ เมื่อสัมผัสอะซีโตน ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง แต่ถ้าเป็นการสัมผัสกับอะซีโตนต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะทำให้ผิวแห้ง และเกิดการอักเสบของผิวตามมาเนื่องจาก อะซีโตน เป็นสารที่สามารถละลายไขมัน (defatting agent) ถ้าอะซีโตนเข้าตาจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตา การสูดดมอะซีโตน จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตา เยื่อบุจมูก และเยื่อบุทางเดินหายใจ และทำให้เกิดการกดของระบบประสาท เช่นเดียวกับสารระเหย โดยการกดประสาทของอะซีโตนมีหลายระดับ ตั้งแต่การเปลี่ยนพฤติกรรมจนถึงการเสพติด ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณอะซีโตนที่ได้รับโดยถ้าได้รับในปริมาณไม่เกิน 237 ส่วนต่อล้านส่วน (574 มิลลิกรัมต่อลูกบากศก์เมตร) เป็นเวลา 4 ชั่วโมง จะให้เกิดการเปลี่ยนพฤติกรรมเช่น ตื่นเต้น หงุดหงิด และ hostility ถ้าได้รับในปริมาณมากถึง 250 ส่วนต่อล้านส่วน (605 มิลลิกรัมต่อลูกบากศก์เมตร) เป็นเวลา 5.25 ชั่วโมง ระบบประสาทจะถูกกดมากขึ้นและทำให้เกิดอาการหมดแรงอ่อนเพลียและปวดศีรษะ ถ้าได้รับในปริมาณตั้งแต่ ส่วนต่อล้านส่วน (1210 มิลลิกรัมต่อลูกบากศก์เมตร) ขึ้นไป เป็นเวลา 6 ชั่วโมง จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุต่างๆ และถ้าได้รับอะซีโตน ในปริมาณที่สูงมากหรือมากกว่า > 29 กรัมต่อลูกบากศก์เมตรจะทำให้เกิดอาการเวียนศีรษะ มึนงง สับสน และหมดสติ ถึงอย่างไรก็ตาม อะซีโตนไม่ใช่สารก่อเกิดมะเร็ง และไม่เหนี่ยวนำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์ (teratogenic activity)
แนวทางการป้องกันแก้ไข
1. สามารถป้องกันตนเองได้โดย หาความรู้เรื่องโทษพิษภัยของสารระเหย เพื่อป้องกันตนเอง และแนะนำผู้อื่นได้
2. ควรใช้อย่างระวังและถูกต้องตามคำแนะนำที่ติดมากับผลิตภัณฑ์ นั้น ๆ
3. ป้องกันอย่าให้สารระเหยเข้าสู่ร่างกายโดยทางหายใจ หรือทางผิวหนัง โดยสวมหน้ากาก หรือใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก และสวมเสื้อผ้าปกคลุมให้มิดชิด ขณะใช้สารระเหย
4. ขณะใช้สารระเหย ควรอยู่เหนือลม และในที่ ที่มีอากาศ ถ่ายเทสะดวก